วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

คำสั่ง SQL

1.)SQL WHERE
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) คำสั่ง SQL WHERE สามารถระบุเงื่อนไขในการเลือกข้อมูลได้ 1 เงื่อนไข หรือมากกว่า 1 เงื่อนไข
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT Column1, Column2, Column3,... FROM Table-Name WHERE [Field] = 'Value'

2.)SQL ALIAS
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) โดย ALIAS คือการสร้างชื่อจำลองขึ้นมาใหม่ โดยสามารถจำลองชื่อได้ทั้งชื่อ Field และชื่อ Table
Database : MySQL
Syntax : SELECT Column1 AS Alias1,Column2 AS Alias2,Column3 AS Alias3,... FROM [Table-Name1] Table Alias

3.)SQL OR AND
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) การเชื่อมวลีสำหรับเงื่อนไขต่าง ๆ
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT Column1,Column2,Column3,... FROM [Table-Name] WHERE [Field] = 'Value' [AND/OR] [Field] = 'Value'

4.)SQL ORDER BY
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) โดยจัดเรียงข้อมูลตามต้องการ
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT Culumn1,Culumn2,Culumn3,... FROM [Table-Name] ORDER BY [Field] [ASC/DESC],[Field] [ASC/DESC],...
ASC = น้อยไปหามาก
DESC = มากไปหาน้อย

5.)SQL SUB SELECT QUERY
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) โดยใช้เลือกข้อมูลย่อยภายใน SELECTย่อยอีกชั้นหนึ่งครับSUB SELECT QUERY เข้ามาช่วยในด้านความสะดวกและง่ายกว่าการ JOIN TABLE แต่ข้อเสียของ SUB SELECT คือ สามารถทำงานได้ช้ากว่า JOIN TABLE
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT Column1,Column2,Column3,... FROM [Table-Name] WHERE [Field] IN (SELECT ..... FROM ....)

6.)SQL SELECT INTO
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) โดยใช้การเลือกข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง นิยมใช้สำหรับการ Copy Table หรือทำการ Backup Table
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT Column1,Column2,Column3,... INTO [New-Table] FROM [Table-Name]

7.)SQL BETWEEN
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) โดยทำการเลือกเงื่อนไขที่อยู่ระหว่างค่าเริ่มต้นและค่าสิ้นสุด
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT Column1,Column2,Column3,... FROM [Table-Name] WHERE [Field] BETWEEN [Value-Start] AND [Value-End]

8.)SQL JOIN
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) โดยเงื่อนไขการ JOIN จะกระทำเมื่อมีข้อมูลตั้งแต่ 2 Table ขึ้นไป โดยข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลที่มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับข้อมูลหลัก
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT [Table-Name1].Column1, [Table-Name2].Column1,... FROM [Table-Name1],[Table-Name2]
WHERE [Table-Name1].Column = [Table-Name2].Column

9.)SQL LIMIT
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) ที่สามารถกำหนดจำนวน Record ที่แสดงผลออกมาได้
Database : MySQL
Syntax : SELECT Column1, Column2, Column3,... FROM [Table-Name] ORDER BY [Fields] [ASC/DESC] LIMIT [Int-Start] , [Int-End]

10.)SQL ROWNUM
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) ที่สามารถกำหนดจำนวน Record ที่แสดงผลออกมาได้
Database : Oracle
Syntax : SELECT Column1, Column2, Column3,... FROM [Table-Name] WHERE ROWNUM <= [Int-Limit]

11.)SQL RAND
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) ในรูปแบบของการสุ่ม Record
Database : MySQL
Syntax : SELECT Column1, Column2, Column3,... FROM [Table-Name] ORDER BY RAND() LIMIT [Int]

12.)SQL LIKE
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) โดยทำการค้นหาข้อความที่ระบุภายในฟิวด์ที่กำหนด
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT Column1,Column2,Column3,... FROM [Table-Name] WHERE [Filed] LIKE '%Value%'

13.)SQL NOT LIKE
เป็นคำสั่งที่ใช้สำหรับการระบุเงื่อนไขการเลือกข้อมูลในตาราง (Table) โดยทำการค้นหาข้อความที่ระบุภายในฟิวด์ที่กำหนด และไม่แสดง Record ที่ค้นพบ ซึ่งทำหน้าที่ตรงข้ามกับ LIKE
Database : MySQL,Microsoft Access,SQL Server,Oracle
Syntax : SELECT Column1,Column2,Column3,... FROM [Table-Name] WHERE [Filed] NOT LIKE '%Value%'


วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้อสอบ onet

1.       ข้อให้เป็นอุปกรณ์ประเภทหน่วยความจำ
ก.      ลำโพง ซีพียู
ข.       ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม
ค.      แฟลชไดร์ฟ คีย์บอร์ด
ง.       จอภาพ เครื่องพิมพ์
เฉลยข้อ 3

2 .ข้อใดไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่นำมาใช้บนอุปกรณ์พกพา
ประเภท  Smartphone.
1.  Ubumtu       2.  Iphone  os
3.  Android      4.  Symbian

เฉลยข้อ  1

3. ไฟล์ประเภทใดในข้อต่อไปนี้เก็บข้อมูลในลักษณะตัวอักษร.
1.  ไฟล์เพลง  MP 3 (mp 3)
2.  ไฟล์รูปประเภท  JPEG (jpeg)
3.  ไฟล์แสดงผลหน้าเว็บ (html)
4.  ไฟล์วีดีโอประเภท  Movie (movie)

เฉลยข้อ  3

4.ลิขสิทธิ์โปรแกรมประเภทรหัสเปิด(Open Source)อนุญาต
ให้ผู้ใช้ทำอะไรได้บ้าง.
ก.  นำโปรแกรมมาใช้งานโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
ข.  ทดลองใช้โปรแกรมก่อนถ้าพอใจจึงจ่ายค่าลิขสิทธิ์
ค.  แก้ไขปรับปรุงโปรแกรมเองได้
1.  ข้อ  ก กับ  ข้อ        2.  ข้อ    กับ  ข้อ  
3.  ข้อ    อย่างเดียว     4.  ข้อ    อย่างเดียว
เฉลยข้อ  4

5.ระบบกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งมีความต้องการดังนี้
ก.  ต้องให้ผู้ใช้สามารถตั้งกระทู้โต้ตอบกันได้โดยผู้ใช้
ต้องแสดงตัวตน(ล็อกอิน)เพื่อเข้าระบบก่อน
ข.  ผู้ใช้สามารถตั้งกระทู้หรือเข้าไปตอบกระทู้ที่ตั้งไว้แล้วได้
ค.  ระบบจะบันทึกชื่อผู้ตั้งและผู้ตอบไว้ด้วย
ในการออกแบบฐานข้อมูลดังกล่าวข้อใดกล่าวได้ถูกต้อง.
1.  ต้องสร้างตารางผู้ใช้ ตารางกระทู้และตารางคำตอบ
2.  ไม่ต้องสร้างตารางผู้ใช้เนื่องจากสามารถบันทึกชื่อ
ผู้ใช้ในตารางกระทู้และตารางคำตอบได้เลย
3.  ต้องสร้างตารางผู้ใช้และตารางกระทู้ส่วนคำตอบจะอยู่
ในตารางกระทู้อยู่แล้ว
4.  ไม่ต้องสร้างตารางกระทู้เพราะสามารถบันทึกกระทู้ที่ผู้ใช้
ตั้งในตารางผู้ใช้ได้เลย
เฉลยข้อ  4

6. ห้องสมุดแห่งหนึ่งต้องการพัมนาระบบยืมหนังสือโดยสามารถ
บันทึกข้อมูลการยืมหนังสือลงบนบัตรอิเลคโทรนิกส์โดยไม่ต้อง
เขียนด้วยมือระบบนี้ควรใช้เทคโนโลยีในข้อใด.
1.  Smart  Card          2.  Fingerprint
3.  Barcode                 4.  WiFi

เฉลยข้อ  3

7. ข้อใดเป้นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเมื่อค้นคว้า
หาข้อมูลจากอินเทอร์เนตมาทำรายงาน.
1.  คัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์
2.  ใช้เนื้อหาจากกระดานสนทนา(Web board)มาใส่ในรายงาน
3.  นำรูปภาพจากเว็บไซต์มาใส่ในรายงาน
4.  อ้างอิงชื่อผู้เขียนบทความ

เฉลยข้อ  4

8. ข้อใดเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายทั้งหมด.
1.  Wi-Fi  ,  IP              2.  Wi-Fi  ,Bluetooth
3.  3G  ADSL                4.  3G    Ethernet

เฉลยข้อ  2

9. ข้อใดไม่ใช่ข้อเสียของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์.
1.  การทำผิดกฏหมายลิขสิทธิ์มีความผิดทางอาญา
2.  เป็นช่องทางหนึ่งในการระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์
3.  ผู้ใช้จะไม่ได้รับการบริการจากผู้พัมนาถ้าหากมีปัญหาการใช้งาน
4.  ทำให้ผู้พัมนาซอฟแวร์ไม่มีรายได้เพื่อประกอบการและพัฒนาต่อไปได้

เฉลยข้อ  2

10. ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องที่สุด.
1.  การบันทึกข้อมูลลงแผ่นดีวีดีใช้เทคโนโลยีแบบแม่เหล็ก
2.  หมายเลขไอพีเป็นหมายเลขที่ใช้กำกับ  Network Interce Card
3.  หน่วยความจำสำรองเป็นหน่วยความจำที่มีคุณลักษณะแบบ Volntile
4.  รหัส ACIIและEBCIDICเป็นการวางรหัสตัวอักษรที่ใช้ขนาด  8 บิด

เฉลยข้อ  3 


อ้างอิง
 https://krupaga.wordpress.com/category/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-o-net-%E0%B8%A1-6-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C/

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ฟังก์ชันใน PHP

ฟังก์ชันในโปรแกรมส่วนใหญ่ได้รับการเรียกคำสั่งเพื่อทำงานอย่างเดียว สิ่งนี้ทำให้คำสั่งอ่านได้ง่ายและยอมให้ใช้คำสั่งใหม่แต่ละครั้งเมื่อต้องการทำงานเดียวกัน

ฟังก์ชันเป็นโมดูลเก็บคำสั่งที่กำหนดการเรียกอินเตอร์เฟซ ทำงานเดียวกัน และตัวเลือกส่งออกค่าจากการเรียกฟังก์ชัน คำสั่งต่อไปเป็นการเรียกฟังก์ชันอย่างง่าย
my_function ();

คำสั่งเรียกฟังก์ชันชื่อ my_function ที่ไม่ต้องการพารามิเตอร์ และไม่สนใจค่าที่อาจจะส่งออกโดยฟังก์ชันนี้

ฟังก์ชันจำนวนมากได้รับการเรียกด้วยวิธีนี้ เช่น ฟังก์ชัน phpinfo () สำหรับแสดงเวอร์ชันติดตั้งของ PHP สารสนเทศเกี่ยวกับ PHP การตั้งค่าแม่ข่ายเว็บ ค่าต่างๆ ของ PHP และตัวแปร ฟังก์ชันนี้ไม่ใช้พารามิเตอร์และโดยทั่วไปไม่สนใจค่าส่งออก ดังนั้นการเรียก phpinfo () จะประกอบขึ้นดังนี้

phpinfo ();

การกำหนดฟังก์ชันและการเรียกฟังก์ชัน

การประกาศฟังก์ชันเริ่มต้นด้วยคีย์เวิร์ด function กำหนดชื่อฟังก์ชัน พารามิเตอร์ที่ต้องการ และเก็บคำสั่งที่จะประมวลผลแต่ละครั้งเมื่อเรียกฟังก์ชันนี้

<?php

function function_name(parameter1,…)
{

ชุดคำสั่ง …

}
?>

ชุดคำสั่งต้องเริ่มต้นและสิ้นสุดในวงเล็บปีกกา ({ }) ตัวอย่างฟังก์ชัน my_function

<?php
function my_function()
{

$mystring =<<<BODYSTRING
my function ได้รับการเรียก

BODYSTRING;
echo $mystring;

}
?>

การประกาศฟังก์ชันนี้ เริ่มต้นด้วย function ดังนั้นผู้อ่านและตัวกระจาย PHP ทราบว่าต่อไปเป็นฟังก์ชันกำหนดเอง ชื่อฟังก์ชันคือ my_function การเรียกฟังก์ชันนี้ใช้ประโยคคำสั่งนี้
my_function ();

การเรียกฟังก์ชันนี้จะให้ผลลัพธ์เป็นข้อความ "my function ได้รับการเรียก " บน browser

การตั้งชื่อฟังก์ชัน

สิ่งสำคัญมากในการพิจารณาเมื่อตั้งชื่อฟังก์ชันคือชื่อต้องสั้นแต่มีความหมาย ถ้าฟังก์ชันสร้างส่วนตัวของเพจควรตั้งชื่อเป็น pageheader () หรือ page_header ()

ข้อจำกัดในการตั้งชื่อคือ

ฟังก์ชันไม่สามารถมีชื่อเดียวกับฟังก์ชันที่มีอยู่
ชื่อฟังก์ชันสามารถมีได้เพียงตัวอักษรตัวเลข และ underscore
ชื่อฟังก์ชันไม่สามารถเริ่มต้นด้วยตัวเลข
หลายภาษายอมให้ใช้ชื่อฟังก์ชันได้อีก ส่วนการทำงานนี้เรียกว่า function overload อย่างไรก็ตาม PHP ไม่สนับสนุน function overload ดังนั้นฟังก์ชันไม่สามารถมีชื่อเดียวกันกับฟังก์ชันภายใน หรือฟังก์ชันกำหนดเองที่มีอยู่

หมายเหตุ ถึงแม้ว่าทุกสคริปต์ PHP รู้จักฟังก์ชันภายในทั้งหมด ฟังก์ชันกำหนดเองอยู่เฉพาะในสคริปต์ที่ประกาศสิ่งนี้หมายความว่า ชื่อฟังก์ชันสามารถใช้ในคนละไฟล์แต่อาจจะไปสู่ความสับสน และควรหลีกเลียง

ชื่อฟังก์ชันต่อไปนี้ถูกต้อง 
name ()
name2 ()
name_three ()
_namefour ()

ชื่อไม่ถูกต้อง 
5name ()
Name-six ()
fopen ()

การเรียกฟังก์ชันไม่มีผลจากชนิดตัวพิมพ์ ดังนั้นการเรียก function_name (), Function_Name() หรือ FUNCTION_NAME() สามารถทำได้และมีผลลัพธ์เหมือนกัน แต่แบบแผนการกำหนดชื่อฟังก์ชันใน PHP ให้ใช้ตัวพิมพ์เล็ก

ชื่อฟังก์ชันแตกต่างจากชื่อตัวแปร โดยชื่อตัวแปรเป็นชนิดตัวพิมพ์มีผล ดังนั้น $Name และ $name เป็น 2 ตัวแปร แต่ Name () และ name () เป็นฟังก์ชันเดียวกัน

การหยุดประมวลผลภายในฟังก์ชัน

คีย์เวิร์ด return หยุดการประมวลผลฟังก์ชัน ฟังก์ชันสิ้นสุดได้เพราะประโยคคำสั่งทั้งหมดได้รับการประมวลผล หรือ ใช้คีย์เวิร์ด return การประมวลผลกลับไปยังประโยคคำสั่งต่อจากการเรียกฟังก์ชัน

<?php

function division($x, $y)
{

if ($y == 0 || !isset($y))
{

echo " ตัวหาร y ต้องไม่เป็นศูนย์หรือไม่มีค่า" ;
return;

}

$result = $x / $y;
echo $result;

}
?>

ถ้าประโยคคำสั่ง return ได้รับการประมวลผล บรรทัดคำสั่งต่อไปในฟังก์ชันจะถูกข้ามไป และกลับไปยังผู้เรียกฟังก์ชันนี้ ในฟังก์ชันนี้ ถ้า y เป็น 0 จะหยุดการประมวลผล ถ้า y ไม่เท่ากับ 0 จะคำนวณผลหาร

สมมติป้อนค่าเป็น
x = 4, y = 0
x = 4
x = 4, y = 2

ผลลัพธ์ของคำสั่ง คือ
x = 4, y = 0 ผลลัพธ์ ตัวหาร y ต้องไม่เป็นศูนย์หรือไม่มีค่า
x = 4, y = ผลลัพธ์ ตัวหาร y ต้องไม่เป็นศูนย์หรือไม่มีค่า
x = 4, y = 2 ผลลัพธ์ 2

การเรียกฟังก์ชัน

เมื่อฟังก์ชันได้รับการประกาศหรือสร้างขึ้นแล้ว การเรียกฟังก์ชันสามารถเรียกมาจากที่ใดๆ ภายในสคริปต์ หรือ จากไฟล์ที่มีการรวมด้วยประโยคคำสั่ง include() หรือ require()

ตัวอย่าง ฟังก์ชัน show_message() เก็บอยู่ในไฟล์ fn_ 03 _keeper.php ส่วนผู้เรียกอยู่ในสคริปต์ fn_ 03 _caller.php

<?php

include("fn_ 03 _keeper.php");
show_message();

?>

พารามิเตอร์

ตามปกติฟังก์ชันส่วนใหญ่ต้องการรับสารสนเทศจากผู้เรียกสำหรับการประมวลผล โดยทั่วไปเรียกว่า พารามิเตอร์

ไวยากรณ์พื้นฐาน

การกำหนดฟังก์ให้รับพารามิเตอร์ส่งผ่านโดยการวางข้อมูล ชื่อตัวแปรที่เก็บข้อมูลภายในวงเล็บหลังชื่อฟังก์ชัน การเรียกฟังก์ชันที่ประกอบด้วยพารามิเตอร์เขียนดังนี้

<?php

function show_parameter($param1, $param2, $param3)
{

echo <<<PARAM
รายการพารามิเตอร์ <br/>
param1: $param1 <br/>
param2: $param2 <br/>
param3: $param3 <br/>

PARAM;

}
?>

พารามิเตอร์ที่ส่งไปยังฟังก์ชันแยกกันเครื่องหมายจุลภาคภายในวงเล็บ โดยสามารถส่งเป็นนิพจน์สำหรับแต่ละพารามิเตอร์ด้วย ตัวแปร ค่าคงที่ ผลลัพธ์จากการคำนวณ รวมถึงการเรียกฟังก์ชัน

scope ของพารามิเตอร์จำกัดภายในฟังก์ชัน ถ้าชื่อตัวแปรเหมือนกับตัวแปรใน scope ระดับอื่น พารามิเตอร์นี้ "ระบุ" เป็นตัวแปรภายในที่ไม่มีผลกับตัวแปรภายนอกฟังก์ชัน

การส่งผ่านโดยค่า(By Value)

ตามปกติการส่งผ่านพารามิเตอร์ไปยังฟังก์ชันเป็นการส่งผ่านค่า การเปลี่ยนแปลงจะจำกัดภายในเฉพาะภายในฟังก์ชัน

ตัวอย่างฟังก์ชัน new_value () ที่ยอมให้เพิ่มค่า อาจจะเขียนคำสั่งดังนี้

<?php

function new_value($value, $increment= 1)
{

$value = $value + $increment;

}

$value = 10 ;
new_value($value);
echo "$value<br/>\n";

?>

คำสั่งนี้ใช้ไม่ได้ ผลลัพธ์จะเป็น "10" ค่าใหม่ของ $value ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สิ่งนี้เป็นเพราะกฎ scope คำสั่งนี้สร้างตัวแปรเรียกว่า $value เป็น 10 เมื่อเรียกฟังก์ชัน new_value () ตัวแปร $value ในฟังก์ชันได้รับการสร้างเมื่อเรียกฟังก์ชัน ค่า 1 ได้รับการเพิ่มให้กับตัวแปร ดังนั้นค่าของ $value คือ 11 ภายในฟังก์ชัน จนกระทั่งสิ้นสุดฟังก์ชัน แล้วกลับไปยังคำสั่งที่เรียกภายในคำสั่งนี้ ตัวแปร $value เป็นอีกตัวแปร global scope และไม่มีการเปลี่ยนแปลง

การส่งผ่านโดยการอ้างอิง (By Reference)

ตามตัวอย่างฟังก์ชัน new_value ถ้าต้องการให้ฟังก์ชันเปลี่ยนแปลงค่าได้ มีวิธีหนึ่งในการแก้ไขคือ ประกาศ $value ในฟังก์ชันเป็น global แต่หมายความว่าในการใช้ฟังก์ชันนี้ ตัวแปรที่ต้องการเพิ่มค่าต้องตั้งชื่อเป็น $value แต่มีวิธีดีกว่าคือ ใช้การส่งผ่านโดยการอ้างอิง

การอ้างอิงไปตัวแปรต้นทางแทนที่มีค่าของตัวเอง การปรับปรุงไปยังการอ้างอิงจะมีผลกับตัวแปรต้นทางด้วย

การระบุพารามิเตอร์ที่ใช้การส่งผ่านโดยการอ้างอิงให้วาง ampersand (&) หน้าชื่อพารามิเตอร์ในข้อกำหนดฟังก์ชัน

ตัวอย่าง new_value () ได้รับปรับปรุงให้มี 1 พารามิเตอร์ส่งผ่านโดยการอ้างอิงและทำงานได้อย่างถูกต้อง

<?php

function new_value(&$value, $increment=1)
{

$value = $value + $increment;

}
?>

คำสั่งทดสอบฟังก์ชัน ให้พิมพ์ 10 ก่อนการเรียก increment () และ 11 ภายหลัง

ในการส่งค่าโดยการอ้างอิงต้องส่งเป็นตัวแปรไม่สามารถกำหนดค่าคงที่โดยตรง